
ค่ำคืนที่เอติฮัด สเตเดียม กลายเป็นอีกหนึ่งวันที่แฟนบอล “เรือใบสีฟ้า” กลับมามีรอยยิ้ม หลังจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไล่ถล่ม น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ขาดลอย 3-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ผลการแข่งขันนี้ไม่เพียงยุติสถิติไร้ชัยชนะต่อเนื่องที่ยาวนาน แต่ยังพาทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กลับขึ้นสู่ตำแหน่งท็อปโฟร์ได้อีกครั้ง เพิ่มแรงกดดันให้จ่าฝูง ลิเวอร์พูล ที่ช่องว่างเหลือเพียง 9 คะแนน
ตลอด 90 นาที แฟนบอลได้เห็นการคืนฟอร์มระดับมาสเตอร์คลาสของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ทั้งยิงและจ่าย สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนในเกมรุก ขณะที่ เจเรมี โดคู ก็โชว์สปีดและเทคนิคสร้างปัญหาให้แนวรับฟอเรสต์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเกมรับที่แม้มีปัญหานักเตะบาดเจ็บ แต่ยังสามารถเก็บคลีนชีตได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เผชิญกับช่วงเวลายากลำบากอย่างแท้จริง ชนะไม่ได้ติดต่อกันในลีกหลายเกม ฟอร์มแกว่งและมีเสียงวิจารณ์เรื่องการโรเตชันของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า การขาดหายไปของ เดอ บรอยน์ ในช่วงต้นฤดูกาลทำให้เกมรุกขาดความหลากหลาย ufabet แทงบอลสเต็ป ค่าน้ำสูง และปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นหลักอย่าง จอห์น สโตนส์ และ มานูเอล อคานจี ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์
ฝั่งน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แม้จะเป็นทีมโซนท้ายตาราง แต่มีชื่อเสียงเรื่องเกมโต้กลับที่รวดเร็ว และมีตัวปิดบัญชีอย่าง คริส วู้ด ที่มักสร้างปัญหาให้แนวรับคู่แข่ง การบุกมาเยือนเอติฮัดในค่ำคืนนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กุนซือ นูโน เอสปิริโต้ ซานโต ก็หวังจะฉวยโอกาสจากความกดดันของเจ้าบ้าน
ประตูที่ 1 — แค่ 8 นาทีแรกก็มีเฮ
เกมเริ่มได้เพียง 8 นาที แมนฯ ซิตี้ ก็ได้ประตูขึ้นนำจากความนิ่งและชั้นเชิงของ เควิน เดอ บรอยน์ จังหวะนี้เริ่มจากการประสานงานด้านซ้าย ริยาด มาห์เรซ (ลงมาแทนในช่วงเกมที่ผ่านมา) จ่ายบอลสั้นให้ โรดรี ก่อนจะส่งต่อไปถึง เดอ บรอยน์ ที่หาพื้นที่ว่างทางกราบซ้ายอย่างชาญฉลาด
เดอ บรอยน์ เห็นการวิ่งทะลุช่องของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ทันที บอลถูกวางด้วยน้ำหนักและทิศทางสมบูรณ์แบบ ทำให้แบร์นาร์โด้หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ และยิงด้วยซ้ายเสียบเสาไกลแบบที่ แมตต์ เทอร์เนอร์ นายทวารฟอเรสต์ ทำได้เพียงพุ่งแต่เอื้อมไม่ถึง เสียงเฮดังกระหึ่มเอติฮัด สเตเดียม
ประตูที่ 2 — KDB ยิงเองบ้าง (นาที 31)
นาทีที่ 31 เดอ บรอยน์ ก็เพิ่มชื่อของตัวเองในสกอร์บอร์ด จากจังหวะที่ เจเรมี โดคู ใช้สปีดกระชากหนีตัวประกบทางฝั่งซ้าย ก่อนตบเข้ากลางให้กัปตันทีมเบลเยียมแต่งบอลหนึ่งจังหวะแล้วซัดด้วยขวา บอลพุ่งเสียบมุมอย่างแรงและแม่นยำ
ประตูนี้สะท้อนให้เห็นถึงสองสิ่งสำคัญของแมนฯ ซิตี้ในเกมนี้:
- ความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้าย — โอกาสเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถเปลี่ยนเป็นประตู
- ความเข้าใจในเกมของผู้เล่นเกมรุก — การเคลื่อนที่สอดรับกันระหว่าง โดคู กับ เดอ บรอยน์ ทำให้แนวรับฟอเรสต์ตามไม่ทัน
ประตูที่ 3 — โดคูปิดงาน (นาที 57)
เข้าสู่ครึ่งหลัง นาทีที่ 57 เกมสวนกลับของซิตี้ก็ปิดบัญชีฟอเรสต์ได้อย่างเด็ดขาด เริ่มจากการดักบอลกลางสนามของ โรดรี จ่ายทะลุช่องให้ เดอ บรอยน์ ที่วิ่งไปสุดเส้นหลังทางซ้ายก่อนตบเข้ากลางให้ โดคู แต่งบอลหลบหนึ่งจังหวะแล้วซัดเต็มข้อ เสียงเชียร์ดังลั่นรอบสองฝั่งสนาม
สำหรับ โดคู ประตูนี้ไม่ใช่เพียงการเพิ่มตัวเลขในสถิติ แต่ยังตอกย้ำว่าเขาเป็นอาวุธเกมรุกที่ทำให้แนวรับคู่แข่งต้องหวาดกลัวตลอดเวลา
จังหวะสำคัญอื่น ๆ
- คริส วู้ด พลาดโอกาสทองในครึ่งแรก หลังได้บอลหลุดเดี่ยวแต่ยิงไปติดเอแดร์ซอน
- สเตฟาน ออร์เตก้า ที่ลงเฝ้าเสาแทน เอแดร์ซอน (ในบางนัด) ก็มีจังหวะเซฟสำคัญในครึ่งหลัง
- เกมรับของซิตี้แม้ต้องเปลี่ยนตำแหน่งบ่อยเพราะอาการบาดเจ็บของ นาธาน อาเก้ และ มานูเอล อคานจี แต่ยังคงเล่นอย่างมีวินัย
ความสำคัญของประตูเปิดเกม
การได้ประตูเร็วตั้งแต่นาทีที่ 8 ถือเป็นการตัดความมั่นใจของน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์อย่างเห็นได้ชัด เดิมทีทีมเยือนวางแผนมาเน้นตั้งรับลึกแล้วรอโต้กลับ แต่เมื่อเสียประตูตั้งแต่เนิ่น ๆ แผนดังกล่าวก็ต้องถูกปรับทันที ทำให้ฟอเรสต์จำเป็นต้องเปิดเกมมากขึ้น ซึ่งนั่นยิ่งเข้าทางของแมนฯ ซิตี้ ที่ถนัดเล่นในพื้นที่เปิด
เดอ บรอยน์: ตัวปั้นเกมและจบสกอร์
ในเกมนี้ เควิน เดอ บรอยน์ ไม่ได้แค่ทำหน้าที่เป็นตัวป้อนบอลเท่านั้น แต่ยังเลือกจังหวะสอดขึ้นมาจบสกอร์เองอย่างเฉียบคม การมีผู้เล่นที่สามารถทำได้ทั้งสองบทบาทเช่นนี้ ทำให้ซิตี้มีมิติการโจมตีที่หลากหลายและยากต่อการจับทางของคู่แข่ง
โดคูและการเปิดพื้นที่
แม้ประตูที่สามจะเป็นผลงานการยิงของโดคู แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือการเคลื่อนที่ของเขาตลอดทั้งเกม โดคูใช้สปีดดึงตัวประกบออกจากตำแหน่ง เปิดช่องให้เพื่อนร่วมทีมมีพื้นที่สร้างสรรค์เกม และในหลายจังหวะยังย้อนลงมาช่วยเพรสซิ่งในแดนคู่แข่ง ทำให้การต่อบอลของฟอเรสต์ติดขัดตั้งแต่กลางสนาม
จังหวะพลาดที่อาจเปลี่ยนเกม
แม้ซิตี้จะชนะขาดลอย แต่หากคริส วู้ด ไม่พลาดในจังหวะหลุดเดี่ยวช่วงครึ่งแรก เกมอาจมีความตึงเครียดมากกว่านี้ จังหวะนั้นแสดงให้เห็นว่าแนวรับซิตี้ยังมีช่องโหว่เมื่อเจอกับการวางบอลยาวทะลุช่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจต้องนำไปปรับปรุงก่อนเกมถัดไป
แรงเชียร์จากเอติฮัด
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ซิตี้เล่นอย่างมั่นใจคือเสียงเชียร์ของแฟนบอลในเอติฮัด สเตเดียม ตลอดทั้งเกม เสียงโห่ร้องและการตบมือให้กำลังใจนักเตะหลังจากทุกจังหวะสำคัญ ทำให้บรรยากาศโดยรวมเป็นแรงผลักดันชั้นยอด และนี่คือสิ่งที่หลายสโมสรใหญ่ใช้เป็น “อาวุธลับ” ในบ้านของตัวเอง
ถ้าคุณพร้อม ฉันจะต่อ Part 3: วิเคราะห์ฟอร์มผู้เล่นและโค้ช ให้เลย
และในส่วนนั้นฉันสามารถเพิ่ม ตารางสถิติผู้เล่น เพื่อให้บทความดูมืออาชีพและมีข้อมูลเชิงลึกได้
คุณอยากให้ใส่สถิติเหล่านั้นด้วยไหมคะ?